.......วันนึงผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านบทความซึ่งเขียนโดย รองศาสตราจารย์.ดร.จุมพจน์ วนิชกุล ซึ่งท่านได้เขียนไว้น่าสนใจที่เดียว จึงคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจ เลยนำมาให้อ่านกันครับ.......
บทบาทของห้องสมุดกับการจัดการองค์ความรู้
รศ.ดร. จุมพจน์ วนิชกุล*
ไม่ว่าสังคมการเรียนรู้จะพัฒนาโดยพลังขับเคลื่อนของเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนมากเพียงใด แหล่งให้บริการสารสนเทศจากอดีตสู่ปัจจุบันก็ยังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ได้อย่างเดิมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทบาทของห้องสมุดในฐานะที่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญยังคงมีความสำคัญต่อการให้บริการแก่ผู้ใช้ และมีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการจัดการองค์ความรู้ใหม่ๆที่เกิดขึ้นในสังคมการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
สังคมการเรียนรู้ที่กำลังพัฒนาตัวเองอยู่ในขณะนี้จะเป็นสังคมที่ที่เจริญเติบโตทางปัญญาไม่ใช่เติบโตทางเศรษฐกิจและการก้าวให้ทันกับยุคสมัยของระบบทุนนิยมจนเกินไป ที่ผ่านมาเรามัวแต่คำนึงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ แล้ววัดความเจริญกันด้วยอัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจ การดำเนินการทุกอย่างเพื่อเศรษฐกิจมนุษย์สามารถทำการรุนแรงใดๆก็ได้เช่น การก่ออาชญากรรม การก่อสงครามเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือสภาพการเมืองในแต่ละประเทศเพื่อการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ ความเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงมีข้อจำกัด และนำไปสู่ปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงได้ ตรงกันข้ามกับความเติบโตทางปัญญา ซึ่งไม่มีข้อจำกัด ยิ่งเติบโตยิ่งดีและนำไปสู่ความเจริญโดยรอบด้านอย่างสมบูรณ์ ในยุทธศาสตร์ทางปัญญา สังคมไทยต้องสามารถสลัดออกจากความครอบงำและการถูกสะกดไปสู่ความเป็นไท และไปสู่ฐานแห่งความมั่นใจ เราต้องมีปัญญาสร้างความมั่นใจแห่งชาติ (ประเวศ วะสี, 2546,หน้า 5-6,11) ปัญญาที่จะสร้างความมั่นใจแห่งชาติคือปัญญาที่มาจากการสรรค์สร้างองค์ความรู้ของคนในสังคมความรู้
การสรรค์สร้างองค์ความรู้ด้วยความรู้ที่มีอยู่ในตัวคน (tacit knowledge) เป็นการสร้างองค์ความรู้ให้สังคมได้รับรู้และเรียนรู้ด้วยกัน เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตนเองและจากการศึกษาจากบุคคลอื่น รวมทั้งต้องอาศัยเวลา ความต่อเนื่อง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดอีกปัจจัยหนึ่งคือผู้สรรค์สร้างต้องมีขีดความสามารถ ด้านการวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ได้ตลอดเวลา
ประสบการณ์และองค์ความรู้ส่วนใหญ่จะมีการเผยแพร่มาแล้ว เป็นความรู้โดยทั่วไป (explicit knowledge) ซึ่งหน่วยงานที่มีบทบาทในการให้บริการข้อมูลและตัวความรู้ต่างๆได้แก่ ห้องสมุดที่มีการให้บริการและทำหน้าที่ไปตามสภาพของการให้บริการทุกประเภท ตั้งแต่ห้องสมุดขนาดเล็ก ไปจนกระทั่งห้องสมุดขนาดใหญ่ คำถามที่ตามมา คือ ห้องสมุด หรือองค์กรต่างๆมีการพัฒนาในระบบการจัดการความรู้ได้อย่างไรและเพื่ออะไร (บดินทร์ พาณิช, 2546, 32)
* ประธานกรรมการหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขาการบริหารเพื่อการพัฒนาการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
ความหมายของข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ และปัญญา
ข้อมูลมีสภาพเป็นสารสนเทศได้จะต้องผ่านการประมวลผล ช่วยเสริมสร้างให้เกิดความรู้ในระดับการรับรู้ด้วยวิธีการวิเคราะห์และสังเคราะห์ ซึ่งก่อให้เกิดปัญญาในตัวคนได้ตามแผนภูมิ(นันทา วิทวุฒิศักดิ์, 2546) คือ
ความหมายของข้อมูล (Data)
• หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือการอธิบายปรากฎการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง (Haag, 2000:31)
• ข้อมูลหมายถึงคำอธิบายพื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งของ เหตุการณ์ กิจกรรมหรือ ธุรกรรม ซึ่งได้รับการบันทึก จำแนก และเก็บรักษาไว้ โดยที่ยังไม่ได้เก็บให้เป็นระบบเพื่อที่จะให้ความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่แน่ชัด (Turban et al., 2001: 17)
• ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงที่แทนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในองค์การหรือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพก่อนที่จะมีการจัดระบบให้เป็นรูปแบบที่คนสามารถเข้าใจและนำไปใช้ได้ (Laudon & Laudon, 1999:8)
• ข้อมูลอาจจะเป็นเป็นตัวเลขตัวอักษร สัญลักษณ์ รูปภาพ เสียง หรือภาพเคลื่อนไหวก็ได้ ( Stair and Reynolds, 1999:6)
• ข้อมูล คือ ข้อความจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยอาจเป็นตัวเลข หรือข้อความที่ทำให้ผู้อ่านข้อมูลทราบความเป็นไป หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น(สุชาดา กีระนันทน์, 2542:4)
ความหมายของสารสนเทศ (Information)
• สารสนเทศ หมายถึงข้อมูลที่ได้รับการจัดระบบเพื่อให้มีความหมายและมีคุณค่าสำหรับผู้ใช้ (Turban et al , 2001 : 17 ; laudon & Laudon, 1999:8)
• สารสนเทศคือข้อมูลที่มีความหมายเฉพาะภายใต้บริบท (context) ที่เกี่ยวข้อง (Haag et al., 2000:20)
• สารสนเทศคือข้อความรู้ที่ประมวลได้จากข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นจนได้ ข้อสรุปเป็นข้อความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยเน้นที่การเกิดประโยชน์คือความรู้เกิดเพิ่มขึ้นกับผู้ใช้ (สุชาดา กีระนันทน์, 2542:5)
ความหมายของความรู้ (Knowledge)
• ความรู้ คือ สารสนเทศควบคู่กับกระบวนเรียนรู้ (Know-how)สารสนเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความรู้ เราต้องเข้าใจ วิธีที่ดีที่สุดในการใช้สารสนเทศในการแก้ปัญหา ในการผลิตสินค้าหรือบริการ (Kogut&Zander, 1992 อ้างใน Lucas, 2000 : 31)
• ความรู้ประกอบด้วยข้อมูลหรือสารสนเทศที่ได้รับการจัดระบบและประมวลเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจ ประสบการณ์ การสั่งสมการเรียนรู้ และความเชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถนำไปใช้สำหรับการแก้ปัญหาปัจจุบันหรือการดำเนินงานได้ (Turban et al., 2001:17)
• ความรู้คือ ความรับรู้และความเข้าใจในชุดของระบบสารสนเทศและการที่จะนำสารสน เทศไปใช้ให้เกิดประ โยชน์ใน การสนับสนุนการทำงาน (Stair & Reynolds, 1999:6)
ความหมายของปัญญา (wisdom)
ปัญญา คือ การรู้อย่างเชื่อมโยง
• รู้นอกตัวและรู้ในตัวอย่างมี จริยธรรม
• คุณภาพของความฉลาด
• พลังของความถูกต้องหรือการกระทำที่ดีบนพื้นฐานทางความรู้ ประสบการณ์ และความเข้าใจ
บทบาทของห้องสมุดในการสร้างองค์ความรู้
ห้องสมุดนับเป็นแหล่งให้บริการความรู้และสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ใช้มาโดยตลอด องค์ความรู้เกิดจากการเรียนรู้ ผนวกกับประสบการณ์ของตนเองและการศึกษาจากบุคคลอื่น หากไม่มีการบันทึกไว้ในสื่อรูปใดรูปหนึ่งและเก็บไว้ให้ชนรุ่นหลัง ความรู้นั้นจะสูญหายไป สื่อสารสนเทศยุคแรกได้แก่รูปภาพ ที่มนุษย์ได้วาด หรือ เขียน หรือ จารไว้ตามสถานที่ต่างๆ เมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษรจึงเริ่มมีการบันทึกในวัสดุที่รองรับการเขียนด้วยวัสดุประเภทต่างๆ ตั้งแต่ เยื่อไม้ ผ้า เปลือกไม้ หนังสัตว์ แผ่นดินเหนียว แผ่นหินหรือแผ่นโลหะ ห้องสมุดจึงเป็นแหล่งสะสมและสร้างองค์ความรู้มาโดยตลอดตั้งแต่มีสารสนเทศเกิดขึ้น
การบริหารจัดการในการบริหารจัดการสารสนเทศในห้องสมุดตั้งแต่ยุคแรกๆมาจนกระทั่งยุคปัจจุบัน ผู้บริหารห้องสมุดดำเนินการบริหารงานออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านบริหารจัดการ ด้านงานเทคนิคห้องสมุด และด้านบริการสารสนเทศ ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวก่อให้เกิดสภาพของการกระจายสารสนเทศ ก่อให้เกิดความรู้โดยทั่วไป และตัวผู้ใช้แต่ละคนเท่านั้นจะเกิดทักษะในการเข้าถึงสารสนเทศและเกิดความรู้ที่ชัดแจ้ง จนเกิดความรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจได้อย่างลึกซึ้ง
มาในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนเกียวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ห้องสมุดทุกประเภทได้ปรับตัวในการบริหารจัดการเพื่อสร้างองค์ความรู้ให้กระจายเพิ่มมากขึ้นตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป บทบาทของห้องสมุดในการสร้างองค์ความรู้จึงเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการจัดความรู้ มี
กระบวนการจัดการความรู้ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทั้งหมด 7 ขั้นตอน คือ
1. การกำหนดสารสนเทศเพื่อให้เกิดความรู้ที่ต้องการในเบื้องต้น หรือ การบ่งชี้ความรู้ที่ต้องการ
การบริหารงานห้องสมุดเป็นไปตามนโยบายขององค์กรหลัก ห้องสมุดจึงแบ่งเป็นประเภทต่างๆเพื่อสนองตามการดำเนินงานขององค์กรนั้น ในสังคมฐานความรู้จึงพบเห็นห้องสมุดประเภทต่างๆ กระจัดกระจายเพื่อรวบรวมและให้บริการสารสนเทศที่หลากหลาย ห้องสมุดที่มีส่วนสัมพันธ์กับกระบวนการสร้างความรู้สำหรับความรู้เบื้องต้น ได้แก่ ห้องสมุดโรงเรียนและห้องสมุดมหาวิทยาลัย ในขณะที่ห้องสมุดเฉพาะทำหน้าที่ในการบริการสาระในหน่วยงานเฉพาะ และห้องสมุดที่ให้ความรู้ได้ตลอดชีวิต คือห้องสมุดประชาชน หรือ หอสมุดแห่งชาติ
โครงสร้างของการบริหารงานห้องสมุดในประเทศไทยยังไม่มีเอกภาพในการบริหารจัดการในภาพรวม ห้องสมุดประชาชนที่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญและให้ความรู้แก่ประชาชนได้ตลอดชีวิต ยังมีการแบ่งโครงสร้างที่ยังไม่ลงตัวอยู่ในขณะนี้
ห้องสมุดแต่ละประเภทจะเริ่มต้นกระบวนการจัดการความรู้ในเบื้องต้นด้วยการกำหนดปรัชญา วิสัยทัศน์ เป้าประสงค์ในการทำงานด้วยมาตรการและโครงการที่จะดำเนินงาน ทุกแห่งจำเป็นต้องกำหนดทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจน สาระของความรู้จึงเร่มต้นต่อการตอบสนองความต้องการเบื้องต้นของหน่วยงาน และขยายขอบเขตวิธีการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความรู้ในองค์กรทั้งการตอบสนองการจัดความรู้เพื่อตนเอง และการตอบสนองเพื่อให้เกิดองค์ความรู้แก่ผู้รับบริการ
2. การสร้างและแสวงหาสารสนเทศเพื่อสร้างความรู้
การกำหนดแนวทางการดำเนินงานด้วยการกำหนดปรัชญา วิสัยทัศน์ และมาตรการในการทำงานมีส่วนสำคัญต่อการเริ่มสร้างและแสวงหาสารสนเทศเพื่อสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในแหล่งให้บริการสารสนเทศ กระบวนการจัดหาสารสนเทศจึงเกิดขึ้น นับตั้งแต่การสำรวจสภาพแวดล้อมขององค์กร การสำรวจความต้องการในการใช้สารสนเทศเพื่อตอบสนองการให้บริการทั้งบุคลากรในหน่วยงานและบุคลากรภายนอก
การรวบรวมสารสนเทศที่หลากหลายจึงเป็รภาระงานหลักแรกๆที่ดำเนินการ เช่น การบอกรับและสั่งซื้อสารสนเทศ การติดต่อขอรับสารสนเทศเพื่อนำมาให้บริการด้วยวิธีการต่างๆ การจัดทำสาระด้วยตนเอง ล้วนแล้วแต่ช่วยสร้างและสะสมความรู้เพื่อช่วยให้เกิดการสร้างองค์ความรู้ได้ต่อไป
3. การจัดสารสนเทศเพื่อจัดการความรู้ให้เป็นระบบ
การจัดหมวดหมู่ความรู้เป็นหน้าที่ที่สำคัญของบรรณารักษ์ซึ่งจำเป็นต้องเรียนรู้จากวิชาชีพโดยเฉพาะ มีวิธีการจัดหมวดหมู่ความรู้เกิดขึ้นในโลกตั้งแต่เมื่อ 100 ปีกว่ามาแล้ว และมีวิธีการจัดอย่างเป็นระบบ มีทั้งการจัดหมวดหมู่ที่เป็นแบบระบบปฏิบัติการและระบบการจัดหมวดหมู่ทฤษฎีรวมทั้งการจัดหมวดหมู่แบบมีการแบ่งลำดับขั้นจากกว้างไปสู่แคบ เป็นต้น การจัดหมวดหมู่เหล่านี้มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมขององค์ความรู้ กล่าวคือทำให้เห็นโครงสร้างและความเชื่อมโยงขององค์ความรู้ บรรณารักษ์จึงเกี่ยวข้องกับการจัดสารสนเทศเพื่อจัดความรู้ให้เป็นระบบ ความรู้ในระดับนี้จึงได้มาจากการรวบรวมความรู้ที่มีอยู่โดยทั่งไป (explicit knowledge) ให้มาอยู่ในที่เดียวกันด้วยการจัดระบบความรู้เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายต่อการอ่านและการนำไปใช้
การสรรค์สร้างองค์ความรู้ อาจดำเนินการได้ดังนี้ (นันทา วิทวุฒิศักดิ์, 2546)
สถาปัตยกรรมการจัดหมวดหมู่ เช่น การวิเคราะห์หมู่แบบฟาซิท การวิเคราะห์หมวดหมู่ลำดับขั้นของความรู้ การวิเคราะห์หมวดหมู่แบบเฉพาะเจาะจง ฯลฯ เป็นแนวทางในการรวบรวมจัดระบบวิเคราะห์ สังเคราะห์เรียบเรียงเป็นความรู้ใหม่
หลักการจัดประเภทความรู้ในยุคโลกาภิวัตน์ เช่น การใช้หัวเรื่องในการวิเคราะห์สารสนเทศ ศัพท์สัมพันธ์ ดรรชนี และการทำรายการออนไลน์ เป็นแนวทางในการรวบรวมจัดระบบวิเคราะห์ สังเคราะห์เรียบเรียงเป็นความรู้ใหม่
สถาปัตยกรรมทางจัดหมวดหมู่และหลักการจัดประเภทความรู้ในยุคโลกาภิวัตน์เป็นแนวทางหรือพิมพ์เขียวในการสรรค์สร้างองค์ความรู้ได้เป็นอย่างดี บรรณารักษ์และหรือนักสารสนเทศจะต้องสร้างความมั่นคงและความก้าวหน้าให้กับวิชาชีพได้อย่างเป็นพลวัตด้วยการย้อนรอยแล้วต่อยอดภูมิปัญญาไทยที่สอดคล้องกับบริบทและยุคสมัย
4. การประมวลและกลั่นกรองสารสนเทศเพื่อให้เกิดความรู้
หน้าที่ในการประมวลและกลั่นกรองสารสนเทศเพื่อให้เกิดความรู้เป็นหน้าที่ที่สำคัญของบรรณารักษ์ ทั้งนี้บรรณารักษ์จะทำหน้าประสานงาน จัดหาความรู้หรือสารสนเทศให้แก่ผู้อ่านไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ท่ามกลางปริมาณความรู้หรือสารสนเทศที่มีเป็นจำนวนมายและอยู่ในสื่อที่มีหลายรูปแบบ การจัดการข้อมูลของบรรณารักษ์ได้แก่ การจัดหา การจัดเก็บ การค้นคืน การเข้าถึง ข้อมูลต่างๆ ตลอดจนการบริการในรูปแบบต่างๆ จำเป็นต้องทำให้มีประสิทธิภาพ บรรณารักษ์ไม่สามารถตอบคำถามทุกข้อในทุกสาขาได้ แต่บรรณารักษ์มีหน้าที่สังเคราะห์-วิเคราะห์ (synthesizing analyzing) และเป็นตัวแทน (agent) หรือสื่อกลาง (mediator) ระหว่างผู้อ่านและสื่อที่บันทึก หรือระหว่างสื่อและผู้อ่าน เพียช บัสเลอร์ (Butter, 1933) กล่าวว่าหน้าที่ของบรรณารักษ์ประกอบด้วยการรวบรวมความรู้ในสังคมและส่งต่อไปยังผู้ใช้ โดยมีความรู้บนสื่อต่างๆ เป็นพื้นฐาน ปัจจุบันปริมาณของสารสนเทศมีจำนวนมากและกระจัดกระจายอยู่ตามสื่อสารสนเทศหลายประเภท การสืบค้นข้อมูลมีความยุ่งยากสลับซับซ้อนมากขึ้น เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ บรรณารักษ์จะต้องทำหน้าที่ดังต่อไปนี้ (สุนีย์ กาศจำรูญ, 2544)
1. เข้าใจภาษา ความต้องการของผู้ใช้และกระบวนการสื่อสาร การส่งข้อมูล การถ่ายทอดและการนำความรู้ผ่านไปให้ผู้ใช้
2. กระบวนการ ความรู้บนสื่อสารสนเทศจะถูกนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์และส่งต่อไปยังผู้ใช้
โดยการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลต่างๆ เรียกว่า การควบคุมบรรณานุกรม (bibliographic control) ได้แก่
2.1 การจัดทำบรรณานุกรม
2.2 การวิเคราะห์หมวดหมู่และบัตรรายการ
2.3 งานสืบค้นทางออนไลน์
2.4 งานสืบค้นโดยใช้หัวเรื่องต่างๆ
2.5 งานดรรชนีและสาระสังเขป
บรรณารักษ์จำเป็นต้องใช้วิธีการต่างๆ ดังกล่าวเพื่อให้ได้สารสนเทศที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทันสมัย รวดเร็ว และตรงกับความต้องการของผู้ใช้ บทบาทเหล่านี้เมื่อดำเนินการตามแนวทางการสรรค์สร้างองค์ความรู้ผนวกกับฐานความรู้ ย่อมสามารถต่อยอดวิชาชีพให้สามารถสรรค์สร้างองค์ความรู้ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. การเข้าถึงความรู้
กระบวนการจัดการความรู้ที่ก่อให้เกิดสภาพการเข้าถึงความรู้ที่เกิดจากสารสนเทศประเภทต่างๆที่หลากหลายที่มีให้บริการอยู่ในห้องสมุดล้วนมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการเห็นความสำคัญต่อสื่อสารสนเทศประเภทต่างๆที่ห้องสมุดได้จัดทำและให้บริการห้องสมุดแต่ละประเภทจะต้องมีวิธีการสร้างนิสัยในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในตัวผู้ใช้บริการ มีวิธีการ สร้างสภาพแวดล้อมของการให้บริการด้วยวิธีการอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการให้บริการภายในห้องสมุดที่ดี จะเป็นการบริหารยุทธศาสตร์ทางปัญญา คือ การที่จะต้องช่วยกันให้คนทั้งประเทศเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง ถ้าคนทั้งประเทศมีนิสัยในการเรียนรู้ก็จะเรียกร้องขอบริการข่าวสารตลอดจนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้
บทบาทของบรรณารักษ์ในห้องสมุดจึงมีส่วนในการกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการเปลี่ยนแปลงนิสัยจากการอ่านและท่องจากตำราให้เป็นเรียนรู้จากตำราแล้วนำไปปฏิบัติ ทดลองเพื่อปรับปรุงการเปลี่ยนแปลงจากตำราที่อ่าน จะเป็นการเข้าถึงความรู้เพื่อจัดการความรู้เดิมที่ตนเองมีอยู่ได้
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้
ห้องสมุดในอดีตส่วนใหญ่มักคำนึงถึงการจัดเก็บความรู้และให้บริการการค้นคว้าด้วยตนเองเป็นหลัก กระบวนการจัดการความรู้ในลักษณะการแบ่งปันความรู้มีค่อนข้างน้อย ทั้งนี้เพราะผู้ใช้แต่ละคนจะเกิดความรู้ด้วยตนเอง เกิดลักษณะความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้น เป็นความรู้ที่ฝังลึก แต่ความรู้ดังกล่าวไม่ได้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ใช้บริการคนอื่นๆ โดยการจัดกิจกรรมกลุ่ม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกิจกรรมต่างๆ การเชิญวิทยากรให้ความรู้ หน้าที่ของบรรณารักษ์ฝ่ายบริการในระยะหลัง จึงปรับปรุงลักษณะการให้บริการที่หลากหลายเพื่อให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ในสภาพของการจัดการห้องสมุดมีชีวิต มีการจัดกิจกรรมกลุ่มเพิ่มเติมมากขึ้น และเน้นในการดึงความรู้ความสามารถของสมาชิกในกลุ่มเป็นตัวกลางในการเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมมาสนทนาหรือประชุมกลุ่มได้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่กำลังสนใจในประเด็นเรื่องเดียวกัน
เราจึงเห็นกิจกรรมการประชุมทางวิชาการที่ห้องสมุดรับทำหน้าที่ในการดำเนินการฝึกอบรม ให้มีกิจกรรมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน บางกิจกรรมใช้กระบวนการทางวิจัยที่เน้นการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (participation action research) และบรรณารักษ์ที่ได้รับการอบรมด้านวิจัยมาโดยเฉพาะจะเน้นกิจกรรมการให้บริการที่เน้นให้ผู้ใช้ได้รับบริการการเรียนรู้ที่ผ่านการจัดทำกิจกรรมของห้องสมุดให้ได้รับองค์ความรู้ใหม่ๆตลอดเวลา
7. การเกิดกระบวนการเรียนรู้ใหม่
โลกในยุคของสารสนเทศสังคมสื่อสารด้วยเทคโนโลยี (ICT) เอื้ออำนวยให้ผู้ใช้บริการจากห้องสมุดทุกประเภทเข้าถึงสารสนเทศ (information) ที่เกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ผ่านกระบวนช่องทางของการสื่อสาร (communication) ในระบบอินเทอร์เน็ตและได้รับสารสนเทศใหม่ๆจากเทคโนโลยีสารสนเทศ (technology) ในสภาพการให้บริการสารสนเทศผ่านการค้นจากฐานข้อมูลที่ได้จัดสรรความรู้ในทุกสาขาวิชาที่เป็นระบบ หรือจากสารสนเทศสำเร็จรูปจากการเรียนรู้ด้วยตนเองจากแบบเรียนสำเร็จรูป หรือ สารสนเทศสำเร็จรูปอิเล็กทรอนิกส์ในลักษณะอื่นๆ
การบริหารจัดการของห้องสมุดยุคใหม่ในปัจจุบันจึงก้าวทันไปกับการเปลี่ยนแปลงของการให้บริการสารสนเทศที่เปลี่ยนแปลงไป บรรณารักษ์จึงทำหน้าที่เป็นผู้ให้องค์ความรู้ในลักษณะที่เป็นผู้มีส่วนร่วมในสังคมของการจัดการความรู้อยู่ในขณะนี้ เปลี่ยนแนวความคิดของผู้ใช้บริการจากการที่ถือว่าฐานความรู้มาจากตำราที่ผู้ใช้ต้องศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง” ไปสู่ “การถือว่าฐานความรู้มาจากการปฏิบัติจากการศึกษาค้นคว้าและผู้ปฏิบัติเกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ”ซึ่งศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี (2546 : 39 -41) ได้กล่าวถึงกระบวนการเกิดองค์ความรู้เพื่อก่อให้เกิดปัญญาว่าควรทำให้เกิดการก้าวกระโดดทางปัญญาทั้งชาติ เพื่อทำให้คนไทยรู้ความจริงอย่างทั่วถึง การรู้ความจริงเป็นฐานของปัญญา การไม่รู้ความจริงหรือรู้ความไม่จริงทำให้ด้อยปัญญา หรือปัญญาเสื่อม ซึ่งในสมัยก่อนไม่สามารถทำให้คนทั้งสังคมรู้ความจริงกันทั้งหมดได้ แต่สมัยนี้ด้วยเทคโนโลยี สามารถทำให้คนทั้งหมดรู้ความจริงถึงกันและพร้อมกันได้ จึงเป็นโอกาสแห่งการอภิวัตน์ทางปัญญาเพื่อการอยู่ร่วมกัน การทำให้รู้ความจริงอย่างทั่วถึงควรแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ข้อมูลข่าวสารและแหล่งการเรียนรู้ และ การสื่อสาร
ข้อมูลข่าวสารอันเป็นความรู้ที่ถูกต้อง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนและทุกหน่วยของสังคม เปรียบเสมือนเป็น “ดีเอนเอทางสังคม” เซลล์ทุกเซลล์มีดีเอนเอ ซึ่งมีความยาว 3,000 ล้านตัวอักษร อันเป็นข้อมูลข่าวสาร (information) ที่ไปกำหนดโครงสร้างและการทำหน้าที่ของเซลล์ ถ้าข่าวสารผิดไป บางที่แม้แต่ตัวเดียวใน 3,000 ล้านตัว ก่อให้เกิดความผิดปกติรุนแรงมาก
ถ้าทุกคนและทุกหน่วยในสังคมมีข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องก็จะทำให้มีปัญญาเพื่อทำให้ถูกต้องได้ ขณะนี้ยังมีการขาดข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องบ้าง หรือได้รับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ชัดเจน ปฏิบัติไม่ได้ หรือเป็นเท็จ (ทุสนเทศ) บ้าง จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสร้างระบบข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นในชีวิตและการทำงาน โดยทำความรู้แต่ละเรื่องให้ชัดเจน แม่นยำ เข้าใจง่าย มีประโยชน์จริง และลดทุสนเทศลงในสังคมที่ซับซ้อนการรู้ความจริงเท่าที่สัมผัสได้ไม่พอเพราะความจริงจากประสบการณ์อาจหลอกเราได้จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูลให้เป็นสาระที่ทำให้เข้าใจความจริงได้ลึกขึ้น
การสื่อสาร ควรมีระบบสื่อสารให้รู้ถึงกัน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทุกรูปแบบ ทั้งสื่อสารสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต สื่อสารไม่ควรจะเป็นเครื่องมือของรัฐและธุรกิจเท่านั้น แต่ควรจะเป็นเครื่องมือของประชาชนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันวิทยุชุมชนเป็นตัวอย่างของการสื่อสารที่มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพที่สุด ราคาก็ถูก และประชาชนเป็นผู้มาสื่อสารด้วยตนเองในเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตชุมชน อย่างน้อย 8 เรื่อง คือ
1.เรื่องการทำมาหากิน
2.เรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
3.เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ
4. เรื่องการศึกษา
5.เรื่องศาสนา
6.เรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
7.เรื่องดินฟ้าอากาศ
8.เรื่องบ้านเมืองและโลก
ทั้ง 8 เรื่อง ล้วนเป็นสาระของกระบวนการจัดการสารสนเทศที่มีอยู่แล้วในห้องสมุด บรรณารักษ์เพียงแต่นำแนวความคิดไปจัดทำกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ในเรื่องเฉพาะเจาะจงได้ การเกิดกระบวนการเรียนรู้ใหม่ๆจึงเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา เป็นพลวัตของสารสนเทศที่ครบวงจรของการเกิด การใช้ และการเพิ่มพูนสารสนเทศ ห้องสมุดจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งบริการการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดกระบวนการสร้างองค์ความรู้ได้ในสังคมฐานความรู้ในยุคปัจจุบัน
บรรณานุกรม
กฤษณา วงษาสันต์. (2542). วิถีไทย. กรุงเทพมหานคร: เธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่น.
ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์. (2545). ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ Management Information
Systems. กรุงเทพมหานคร: สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
นันทา วิทวุฒิศักดิ์. (2546). เส้นทางการจัดการสารสนเทศสู่การจัดการความรู้ ประยุกต์จากหลักการวิเคราะห์
หมวดหมู่. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา.
บดินทร์ พานิช. (2546). เริ่มต้นรู้จัก Knowledge management. CIO FORUM, 1(2), 31-32.
พิทยา ว่องกุล. (2541). “คำนำ” ในเสน่ห์ จามริก. ฐานคิดสู่ทางเลือกใหม่ของสังคมไทย.
กรุงเทพมหานคร: โครงการวิถีทรรศน์.
ประเวศ วะสี. (2546). ยุทธศาสตร์ทางปัญญา เพื่ออนาคตของประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิ
สื่อสร้างสรรค์.
วินัย วีระวัฒนานนท์. (2535). มนุษย์ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนา. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมชน
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
สุชาดา กีระนันทน์. (2542). เทคโนโลยีสารสนเทศสถิติ: ข้อมูลในระบบสารสนเทศ (พิมพ์ครั้งที่ 2 ).
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุนีย์ กาศจำรูญ. (2539). การจัดประเภทความรู้. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
Bliss, H. E. (1939). Libraries and the organization of knowledge. New York: Wilson.
Butter, P. (1933). An introduction to library science. Chicago: University of Chicago Press.
Drabenstott, K. M., & Vizine-Goetz, D. (1994). Using subject headings for online
retrieval: Theory, practice, and potential. San Diego, California: Academic Press.
Fugmann, R. (1993). Subject analysis and indexing: Theoretical foundation and pracical
advice. (Textbooks for Knowledge Organization v.1) Frankfurt/Main: Indeks Verlag.
Gates, J. K. (1989). Guide to the use of libraries and information services (6th ed).
New York: McGraw-Hill.
Haag. S., Cummings. M., & Dawkins, J. (2000). Management information systems for the
information age (2nd ed.). Toronto: Irwin McGraw Hill.
Hunter, E. J. (1995). Classification made simple. Vermont: Gower.
Kogut, B., & Zander, U. (1992). Knowledge of the firm, combinative capabilities, and the
replication of technology.” Organizational Science, 3, 383-397.
Lancaster, F. W. (1972). Vocabulary control for information retrieval. Washington,
D.C. , Information Resources Press.
Laudon, K. C., & Laudon, J. P. (1999). Essentials of management information systems:
Transformaing business and management. New Jersey: Prentice Hall.
Lucas, H. C., Jr. (2000). Information technology for management ( 7th ed). New York:
McGraw-Hill.
Stair, R.M., & Reynolds, G. W. (1999). Principles of information systems: A managerial
Approach (4th ed). Cambridge, MA: Course Technology.
Turban, E., Mclean E., & Wetherbe, J. (2001). Introduction to information technology. Toronto: John Wiley & Sons.
ที่มา : www.wachum.org/dewey/000/chumkm1.doc
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น